เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@buddytriptravel

Travel License : 11/08009

  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1
  • imgslider1

ทัวร์พรีเมี่ยม

ค้นหาโปรแกรมทัวร์

คำค้นหา

ประเทศ

เมือง

สายการบิน

ตั้งแต่วันที่

ถึงวันที่

เฉพาะเดือน

ระหว่าง

บัดดี้ ทริป ทราเวล รับจัดทัวร์ทั้งในและต่างประเทศ ทัวร์เกาหลี ทัวร์ญี่ปุ่น ทัวร์ยุโรป บริการดี

ทัวร์พรีเมี่ยม

โปรแกรมทัวร์มาใหม่

บัดดี้ ทริป ทราเวล

ทัวร์ห้ามพลาด!!!

ทัวร์แนะนำประจำเดือน

ข่าวสารและบทความท่องเที่ยว

Faberge Eggs  ในประวัติศาสตร์รัสเซีย  ใบแรกและใบสุดท้าย

Faberge Eggs ในประวัติศาสตร์รัสเซีย ใบแรกและใบสุดท้าย

Updated : 17 กุมภาพันธ์ 2568 14:42

เทศกาลอีสเตอร์เป็นเทศกาลสำคัญของชาวคริสต์ เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ตามประวัติศาสตร์ของคริสเตียน พระเยซูถูกตรึงในวันศุกร์ หรือที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า “Good Friday”  จากการสิ้นพระชนม์ในวันศุกร์ ต่อมา 3 วัน พระเยซูก็ได้ฟื้นคืนพระชนม์ในวันอาทิตย์ และนั้นก็คือวันอีสเตอร์ (Easter Sunday)   เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองความเชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตและการให้อภัย  สำหรับวันที่นั้นไม่มีระบุวันแน่นอน แต่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์แรก หลังพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 4 ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี  โดยจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน   และสำหรับชาวรัสเซีย คริสเตียนออร์โธดอกซ์ (orthodox Christians) เทศกาลอีสเตอร์ก็ถือเป็นเทศกาลสำคัญเช่นเดียวกัน สำหรับชาวคริสต์จะใช้ไข่อีสเตอร์เป็นสัญลักษณ์แทนการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูทรงเอาชนะความตายและบาปผ่านการฟื้นคืนพระชนม์ สิ่งนี้ให้สัญญาแก่ผู้คนเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์หากพวกเขาปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์   ไข่อีสเตอร์ยังได้เชื่อมโยงกับ อาหารมื้อเย็นมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ซึ่งเป็นมื้ออาหารที่พระเยซูร่วมรับประทานกับอัครสาวกก่อนที่พระองค์จะถูกยูดาสทรยศ และประหารชีวิต อาหารมื้อสุดท้ายมีความเกี่ยวข้องกับเทศกาลของชาวยิวที่รู้จักกันในชื่อ “ปัสกา” (Passover) และอาหารในพิธีปัสกา มักจะใส่ไข่ขาว จึงคาดได้ว่า ประเพณีของชาวคริสต์ที่เกี่ยวกับไข่อีสเตอร์มาจากไข่ปัสกานี้  ซึ่งในอดีตไข่อีสเตอร์ จะถูกย้อมเป็นสีแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งออกมา และสีทองซึ่งแสดงถึงไม้กางเขนสีทอง ที่มาจากภาพวาดของไม้กางเขนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์  เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนมักจะวาดรูปตกแต่งลวดลายไข่ให้สวยงามอย่างสนุกสนาน และนิยมกินไข่ในวันดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าหากกินไข่แล้วจะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาสู่ชีวิตของเรา  แต่ในจักรวรรดิรัสเซีย ได้นำแนวคิดในการมอบไข่อีสเตอร์แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงและไม่สามารถกินได้  ราชวงศ์รัสเซียเปลี่ยนมันเป็นไข่ที่มอบเป็นของขวัญ และถูกเนรมิตโดยฟาแบร์เช (FABERGÉ)  ได้เปลี่ยนไข่ที่พบเห็นได้ทั่วไปให้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่ประดับด้วยอัญมณี   และเป็นที่เก็บรักษาเรื่องราวในอดีต  บันทึกเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซียในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เป็นอย่าง

ระฆังพระเจ้าซาร์ Tsar Bell ระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ระฆังพระเจ้าซาร์ Tsar Bell ระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Updated : 28 สิงหาคม 2567 23:23

การสร้างระฆังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมรัสเซียในยุคก่อนอุตสาหกรรม  ในจักรวรรดิรัสเซีย  ซาร์ทรงสร้างระฆังให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นรูปแบบหนึ่งของการยกย่องชมเชยในหนึ่งเดียวระฆังถูกใช้เพื่อส่งสัญญาณว่ามีบางสิ่งที่สำคัญเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบอกให้ผู้คนมารวมตัวกันในพิธีทางศาสนา  เพื่อประกาศการเฉลิมฉลองและพิธีสำคัญต่างๆ  เพื่อแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือเตือนพวกเขาถึงการโจมตีของศัตรู ระฆังพระเจ้าซาร์   (Tsar Bell)  เป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ตีไม่ดัง เพราะมันแตกร้าวระหว่างกระบวนการหล่อ  เป็นระฆังที่มีชื่อเสียงมากในปัจจุบัน มีอีกชื่อหนึ่งว่า ระฆังซาร์โคโลโคล (Tsar Kolokol III )  ตั้งอยู่ที่พระราชวังเครมลิน ในกรุงมอสโกของรัสเซีย ด้วยขนาดความสูงถึง 6.14 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 6.6 เมตร น้ำหนักมากถึง 201,924 กิโลกรัม ลวดลายสลักรอบระฆัง  รายละเอียดการตกแต่งภาพนูนต่ำสไตล์บาโรก ( baroque )  ของพระฉายาลักษณ์จักรพรรดินีอันนา อิวานอฟนา  และซาร์อเล็กซี ( Empress Anna and Tsar Alexey ) ผู้ปกครองรัสเซีย นอกจากนี้ ซาร์เบลล์ยังแกะสลักภาพพระเยซูคริสต์ พระแม่มารี และนักบุญอุปถัมภ์ของพวกเขาอย่างสวยงามอีกด้วยระฆังถูกสร้างขึ้นโดยโองการของจักรพรรดินีแอนนา อิวานอฟนา (Anna Ivanovna) หลานสาวพระเจ้าปีเตอร์มหาราช (Peter the Great)  จักรพรรดินีแอนนา ต้องการให้ช่างเครื่องของราชวงศ์ฝรั่งเศสทำระฆัง  แต่ถูกปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างระฆังที่ใหญ่ขนาดนั้น   งานนี้จึงถูกส่งต่อให้กับทีมพ่อและลูกชายของช่างฝีมือชาวรัสเซีย Motorin  ระฆังใบนี้จึงถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1730   ในการหล่อระฆังนั้น ได้มีการขุดหลุมลึก 10 เมตร อัดด้วยดินเหนียวและผนังเสริมด้วยดินแข็งเพื่อทนต่อแรงกดดันของโลหะหลอมเหลว โลหะจำนวนมากที่นำมาหล่อถือเป็นความท้าทาย นอกจากชิ้นส่วนของระฆังเก่าแล้ว ยังมีการเติมเงินอีก 525 กิโลกรัมและทองคำ 72 กิโลกรัม ลงในส่วนผสมด้วย หลังจากเตรียมการมาหลายเดือน ความพยายามครั้งแรกไม่ประสบผลสำเร็จ โปรเจ็กต์นี้ไม่สมบูรณ์เมื่อ Ivan Motorin ผู้เป็นพ่อได้เสียชีวิตในเดือนสิงหาคมปี 1735 มิคาอิล ลูกชายของเขาทำงานต่อไป ความพยายามครั้งที่สองประสบความสำเร็จในวันที่ 25 พฤศจิกายนปี 1735 เมื่อระฆังเย็นลงขณะยกขึ้นเหนือหลุมหล่อก่อนที่การตกแต่งครั้งสุดท้ายจะเสร็จสิ้น เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่เครมลินในเดือนพฤษภาคมปี 1737 ไฟเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วได้ลามไปยังโครงสร้างรองรับไม้สำหรับระฆัง และด้วยกลัวว่าจะเสียหาย เจ้าหน้าที่จึงสาดน้ำเย็นใส่ระฆัง ทำให้เกิดรอยแตก 11รอย และ ส่วนที่แตกใหญ่สุด  มีขนาดถึง 10,432.6 กิโลกรัม ไฟลุกไหม้ผ่านฐานไม้ และระฆังก็เสียหายตกลงไปในหลุมหล่อ ซาร์เบลล์ยังคงอยู่ในหลุมมาเกือบศตวรรษ  มีความพยายามยกระฆัง  ขึ้นแต่ไม่สำเร็จ   นโปเลียน  โบนาปาร์ต ระหว่างยึดครองมอสโกในปี  1812 พยายามถอดระฆังออกเพื่อนำกลับไปยังฝรั่งเศส   แต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากขนาดและน้ำหนักของมัน จนกระทั่งถึงปี  1836 ระฆังดังกล่าวได้รับการยกขึ้นโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ออกุสต์ เดอ มงต์แฟร์รองด์ (Auguste de Montferrand ) ระฆังดังกล่าวถูกวางไว้บนแท่นหินขนาดใหญ่จนถึงในปัจจุบัน ผู้เรียบเรียง : คุณศิริวรรณ ตันเสถียร

BUDDYTRIPTRAVEL

ด้วยประสบการณ์ท่องเที่ยวกว่า 10 ปี เรามั่นใจในการวางแผนการเดินทางในทุกทริป

ราคาถูกเป็นกันเอง

เราคือศูนย์กลางการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ รับรองว่าราคาต้องประทับใจคุณอย่างแน่นอน

ประกันการเดินทาง

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ เราจะดูแลคุณด้วยความปลอดภัยตลอดการเดินทาง

แนะนำแผนการเดินทาง

เราใส่ใจและแนะนำแผนการเดินทาง เพื่อให้ทริปการเดินทางของเต็มไปด้วยความสุขอย่างแน่นอน