เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@buddytriptravel

Travel License : 11/08009

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

Faberge Eggs ในประวัติศาสตร์รัสเซีย ใบแรกและใบสุดท้าย

Faberge Eggs  ในประวัติศาสตร์รัสเซีย  ใบแรกและใบสุดท้าย

28

Aug

รัสเซีย

Faberge Eggs ในประวัติศาสตร์รัสเซีย ใบแรกและใบสุดท้าย

เทศกาลอีสเตอร์เป็นเทศกาลสำคัญของชาวคริสต์ เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ตามประวัติศาสตร์ของคริสเตียน พระเยซูถูกตรึงในวันศุกร์ หรือที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า “Good Friday”  จากการสิ้นพระชนม์ในวันศุกร์ ต่อมา 3 วัน พระเยซูก็ได้ฟื้นคืนพระชนม์ในวันอาทิตย์ และนั้นก็คือวันอีสเตอร์ (Easter Sunday)   เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองความเชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตและการให้อภัย  สำหรับวันที่นั้นไม่มีระบุวันแน่นอน แต่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์แรก หลังพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 4 ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี  โดยจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน   และสำหรับชาวรัสเซีย คริสเตียนออร์โธดอกซ์ (orthodox Christians) เทศกาลอีสเตอร์ก็ถือเป็นเทศกาลสำคัญเช่นเดียวกัน 


สำหรับชาวคริสต์จะใช้ไข่อีสเตอร์เป็นสัญลักษณ์แทนการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูทรงเอาชนะความตายและบาปผ่านการฟื้นคืนพระชนม์ สิ่งนี้ให้สัญญาแก่ผู้คนเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์หากพวกเขาปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์   ไข่อีสเตอร์ยังได้เชื่อมโยงกับ อาหารมื้อเย็นมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ซึ่งเป็นมื้ออาหารที่พระเยซูร่วมรับประทานกับอัครสาวกก่อนที่พระองค์จะถูกยูดาสทรยศ และประหารชีวิต อาหารมื้อสุดท้ายมีความเกี่ยวข้องกับเทศกาลของชาวยิวที่รู้จักกันในชื่อ “ปัสกา” (Passover) และอาหารในพิธีปัสกา มักจะใส่ไข่ขาว จึงคาดได้ว่า ประเพณีของชาวคริสต์ที่เกี่ยวกับไข่อีสเตอร์มาจากไข่ปัสกานี้  ซึ่งในอดีตไข่อีสเตอร์ จะถูกย้อมเป็นสีแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งออกมา และสีทองซึ่งแสดงถึงไม้กางเขนสีทอง ที่มาจากภาพวาดของไม้กางเขนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์  


เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนมักจะวาดรูปตกแต่งลวดลายไข่ให้สวยงามอย่างสนุกสนาน และนิยมกินไข่ในวันดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าหากกินไข่แล้วจะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาสู่ชีวิตของเรา  แต่ในจักรวรรดิรัสเซีย ได้นำแนวคิดในการมอบไข่อีสเตอร์แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงและไม่สามารถกินได้  ราชวงศ์รัสเซียเปลี่ยนมันเป็นไข่ที่มอบเป็นของขวัญ และถูกเนรมิตโดยฟาแบร์เช (FABERGÉ)  ได้เปลี่ยนไข่ที่พบเห็นได้ทั่วไปให้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่ประดับด้วยอัญมณี   และเป็นที่เก็บรักษาเรื่องราวในอดีต  บันทึกเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซียในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เป็นอย่าง




ไข่ฟาบาร์เช่ (Faberge) ฟองแรกของรัสเซีย

ไข่ฟาบาร์เช่  (Faberge)  ฟองแรกของรัสเซีย   เริ่มต้นขึ้นในปี 1885  
พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (Tsar Alexander III) ต้องการมอบของขวัญชิ้นพิเศษให้กับสมเด็จพระราชินีซาริน่ามาเรีย ฟีโอโดรอฟน่า (Empress Maria Feodorovna)  ในเทศกาลวันอีสเตอร์ จึงได้รับสั่งให้ Peter Carl Fabergé ห้างทอง Fabergé ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กขณะนั้น ออกแบบและจัดทำ ไข่ฟาบาร์เช่ฟองแรก ได้ชื่อว่า Hen Egg หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The First Imperial Egg ได้แรงบันดาลใจมาจากกล่องใส่เครื่องประดับในวัยเยาว์ของซาริน่ามาเรีย ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปทรงเหมือนไข่  Fabergé ออกแบบที่ตรงไปตรงมา แต่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเปิดแต่ละช่องแล้วพบกับเซอร์ไพรส์  ซึ่งคล้ายกับตุ๊กตาแม่ลูกดกมาก The First Imperial Egg  ได้รับการตกแต่งด้วยการเคลือบสีขาว เมื่อเปิดออกจะเผยให้เห็นไข่แดงทั้งฟอง  ที่ทำด้วยทองคำ  ภายในไข่แดงมีไก่สีทองหลากสีซ่อนอยู่   ซึ่งภายในนั้นมีมงกุฎจักรพรรดิรัสเซียจำลองขนาดเล็ก  และมีจี้ทับทิมขนาดเล็กซ่อนอยู่ในมงกุฎซึ่งตอนนี้หายไปแล้วทั้งสองอย่าง  โดยทราบได้จากรูปถ่ายเก่าเท่านั้น


จากความพึงพอใจอย่างมากของจักรพรรดินีต่อการได้รับไข่อีสเตอร์ จักรพรรดิจึงมอบหมายให้บริษัทของ Fabergé  ทำไข่อีสเตอร์เป็นของขวัญสำหรับเธอทุกปีหลังจากนั้น  การออกแบบไข่  ของ Fabergé ในปีถัดมา มีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ  แม้แต่จักรพรรดิเองก็ไม่รู้ว่าไข่เหล่านั้นจะมีรูปร่างอย่างไร  มีเพียงเงื่อนไขเดียวคือแต่ละใบจะต้องไม่ซ้ำกันและแต่ละใบจะต้องมีเซอร์ไพรส์ด้วย

ไข่ฟาบาร์เช่ (Faberge) ใบสุดท้าย

Order of St. George Egg (1916) มีความพิเศษในหลายๆ ด้าน ข้อแรกคือ แทนที่จะถูกผลิตด้วยวัสดุมีค่าอย่างเคย Order of St. George Egg กลับใช้โลหะราคาถูกและตกแต่งด้วยวิธีการลงยาสีเท่านั้น เนื่องจากอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงไม่สามารถใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้ ข้อสอง Order of St. George Egg เป็นไข่ Fabergé Imperial Easter Eggs ใบสุดท้ายที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้มอบให้กับพระมารดา ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมไม่คาดฝันขึ้นในปี 1917


surprise ของไข่ใบนี้มีหน้าต่าง 2 บานอยู่ตรงข้ามกันที่สามารถเปิดปิดได้ ด้านในปรากฏภาพเหมือนของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และซาเรวิซอเล็กเซ โดยชื่อ Order of St. George คือยศทางทหารที่พระองค์ได้รับ ไข่ใบนี้จึงเปรียบเสมือนของดูต่างหน้าที่มอบให้กับพระมารดา เก็บรักษาไว้ยามห่างไกลเมื่อพระราชโอรสต้องออกไปทำศึกสงคราม


ท้ายที่สุด เมื่อพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ไม่สามารถจัดการปัญหาทั้งหมดได้ พระองค์จึงถูกรัฐบาลเฉพาะกาลยึดอำนาจและถอดออกจากพระอิสริยยศ ก่อนจะถูกสังหารหมู่อย่างเหี้ยมโหดพร้อมสมาชิกทุกพระองค์ในราชวงศ์และเหล่าข้าราชบริพารผู้ภักดี เป็นการปิดฉากราชวงศ์โรมานอฟผู้ปกครองจักรวรรดิรัสเซียมายาวนานกว่า 300 ปี แม้ความรุ่งเรืองของราชวงศ์โรมานอฟจะกลายเป็นเพียงภาพจำในอดีต แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์และความสวยงามทางศิลปวัฒนธรรมที่หลงเหลือจากวันนั้น ได้ถูกถ่ายทอดและส่งต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ในจำนวนทั้งหมดกว่า 50 ใบที่ฟาบาร์เช่ได้สร้างถวายราชวงศ์โรมานอฟ  ปัจจุบัน Fabergé Imperial Easter Eggs กลายเป็นของหายากที่มีมูลค่ามหาศาล แม้บางชิ้นอาจสูญหายไปตามกาลเวลา แต่รายละเอียดที่แสนพิถีพิถัน และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรัสเซีย ทำให้ผลงานของ Fabergé ยังคงอยู่และทำให้ใครหลายคนหลงใหลได้อยู่เสมอ ปัจจุบันสถานที่เก็บรวบรวมไข่ฟาบาร์เช่ไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก  อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Fabergé Museum ในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก



เกร็ดความรู้

แหล่งข้อมูล เพิ่มเติม 

- https://fabergediscoveries.com
- https://readthecloud.co/travelogue-31/
ผู้เรียบเรียง : คุณศิริวรรณ ตันเสถียร